เชื่อว่าเมื่อใครหลายคนได้ศึกษาเรื่องของ “ความยั่งยืน” หรือธุรกิจใดที่เป็นผู้นำเรื่องความยั่งยืน ชื่อของ Interface จะเป็นชื่อหนึ่งที่คงจะได้เห็นผ่านตา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ผู้คนบางกลุ่มอาจไม่ทราบว่า Interface แท้จริงแล้วเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมใด และผลิตภัณฑ์ของเขาคืออะไร
Interface เป็นบริษัทข้ามชาติที่เป็นผู้นำด้านการผลิตพรมแบบแผ่น (Modular Carpet) อันดับหนึ่งของโลก โดยในปี พ.ศ. 2557 Interface มีรายได้ราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีพนักงานมากกว่า 3,500 คน ใน 110 ประเทศทั่วโลก โดยชื่อเสียงด้านความยั่งยืนของ Interface เริ่มต้นจากการพลิกวิสัยทัศน์ของ Ray Anderson อดีตผู้บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท Interface ที่เปลี่ยนจากการเป็นนักธุรกิจที่มุ่งหวังเพียงผลกำไร มามองเรื่องความยั่งยืน จากการถูกตั้งคำถามจากลูกค้าว่า “Interface ทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อมบ้าง?”
ดังนั้นเอง เขาจึงใช้โอกาสนี้ทบทวนถึงจุดยืนของบริษัท และตัดสินใจประกาศเป้าหมายสำคัญของ Interface ซึ่งคือ Mission Zero ที่มีวัตถุประสงค์ว่าภายในปี พ.ศ. 2563 Interface จะต้องไม่สร้างผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม ถึงแม้จะเป็นความตั้งใจที่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่น Interface ก็ได้เริ่มเดินทางสู่ความยั่งยืน โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 Interface ได้ประกาศว่าโรงงานของเขาในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายด้านความยั่งยืน จากการที่โรงงานใช้ไฟฟ้า 100% จากพลังงานหมุนเวียน รวมถึงมีน้ำเสียและขยะเป็นศูนย์
นอกจากนั้น ‘ของเสีย’ ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ Interface ได้แก้ปัญหาด้วยการนำเทคโนโลยีการตัดแบบเหนือเสียงที่ใช้ในองค์กรนาซ่ามาสร้างนวัตกรรมใหม่ในการตัดแบ่งพรมโดยมีเศษพรมลดลงถึงร้อยละ 80 หรือราวปีละ 310 ตัน
มากไปกว่านั้น Interface ยังปรับปรุงการขนส่งพรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ความพยายามลดการขนส่งข้ามทวีป เช่น พรมที่ผลิตขึ้นในยุโรปร้อยละ 99 จะถูกจำหน่ายในยุโรป พร้อมกับจัดการขนส่งให้รถบรรทุกมีปริมาณบรรจุไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 เพื่อประหยัดต้นทุนและลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ถึงแม้ว่า Interface จะไม่ได้มีอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดดในระยะสั้นเช่นเดียวกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม แต่สิ่งที่พิสูจน์คุณค่า และมูลค่าของความยั่งยืนที่เขาทำไปทั้งหมด คือการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย โดยตั้งแต่ Interface ได้เปลี่ยนจากการทำธุรกิจเพียงเพื่อผลกำไร มาสู่การมีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน ยอดขายพรมของ Interface ก็เพิ่มขึ้นราว 2 ใน 3 และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสองเท่าอีกด้วย Interface จึงเป็นเหมือนบทเรียนสำคัญว่าความยั่งยืนเพื่อโลกที่ดีกว่า จะทำให้ธุรกิจยังคงเป็นธุรกิจที่เติบโตไม่ว่าจะในสภาวะใดก็ตาม
Analyzed by BRANDigest
Comments